วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552
ประโยชน์
พวกเขายังทำให้เรารู้ว่า ถึงแม้พวกเขาจะเคยติดยามาแต่พวกเขาก็ได้
กลับตัวมาเป็นคนดี และได้ทำแบบอย่างที่ดีให้วัยรุ่นเห็น เราควรเอาแบบอย่างพวกเขา
ได้รู้เกี่ยวกับประวัติของ the beatles แต่ละคนว่าแต่ละคนนั้น มี เคยมีชีวิตเป้นอย่างไร
ผ่านอุปสรรคมามากมาย และประสบความสำเร็จในที่สุด
ได้เรียนรู้วิธีการทำบล็อกว่าทำอย่างไร
ได้รู้จักการส่งงานทางบล็อก
ได้ตกแต่งงานในบล็อกเป็นและได้รู้ว่าการทำบล็อกไม่ได้ยากอย่างที่คิด
ได้ทำงานร่วมกับเพื่อนในกลุ่ม และได้ช่วยงานต่างๆ ต่างคนต่างช่วยกันทำงาน
ประวัติ จอร์จ แฮริสัน
ถึงแม้ว่าเพลงโดยมากของเดอะบีทเทิลส์จะแต่งโดยเลนนอนและแม็กคาร์ตนีย์ แฮร์ริสันก็ยังแต่งเพลง 1 หรือ 2 เพลงต่ออัลบั้มตั้งแต่ชุด Help! เป็นต้นมา ผลงานเขาที่ร่วมกับเดอะบีทเทิลส์เช่นเพลง "Here Comes the Sun", "Something", "I Me Mine" และ "While My Guitar Gently Weeps" หลังจากวงแตกไป แฮร์ริสันก็ยังเขียนเพลง ออกผลงานทริปเปิลอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอย่าง All Things Must Pass ในปี 1970 ที่มี 2 ซิงเกิ้ลและ ดับเบิลเอ-ไซด์ซิงเกิล: "My Sweet Lord" กับ Isn't It a Pity" นอกจากนี้ในงานเดี่ยว แฮร์ริสันยังร่วมเขียนเพลงฮิต 2 เพลงให้กับริงโก สตารร์ อดีตสมาชิกวงเดอะบีทเทิลส์อีกคน และเพลงในวงแทรเวลลิงวิลบูรีส์ วงซูเปอร์กรุ๊ป ที่ฟอร์มวงในปี 1988 ร่วมกับบ็อบ ดีแลน, ทอม เพตตี, เจฟฟ์ ลีนน์ และรอย ออร์บิสัน
แฮร์ริสัน ได้รับวัฒนธรรมอินเดียและฮินดู ในช่วงทศวรรษ 1960 และช่วยให้ความรู้กับคนตะวันตกด้วยเพลงซิตาร์ และกลุ่มเคลื่อนไหวฮารี กฤษณา เขาร่วมกับระวี ชังการ์ จัดคอนเสิร์ตการกุศลในปี 1971 ที่ชื่อ Concert for Bangladesh และเขาถือเป็นคนเดียวในเดอะบีทเทิลส์ที่พิมพ์อัตชีวประวัติ ขึ้นที่ชื่อ I Me Mine ในปี 1980
นอกจากการเป็นนักดนตรีแล้ว เขายังเป็นโปรดิวเซอร์เพลง และร่วมก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่ชื่อ แฮนด์เมดฟิล์มส งานของเขาในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ เขาร่วมงานกับผู้คนหลากหลายอย่าง มาดอนน่า และสมาชิกของกลุ่มมอนตี้ ไพธอน ด้านชีวิตส่วนตัวเขาแต่งงาน 2 ครั้ง ครั้งแรกกับนางแบบ แพตตี บอยด์ ในปี 1966 และเลขาบริษัทค่ายเพลงที่ชื่อ โอลิเวีย ทรินิแดด อาเรียส ในปี 1978 ที่มีลูกชายด้วยกัน 1 คน ชื่อ ดานี แฮร์ริสัน เขายังเป็นเพื่อนสนิทกับอีริก แคลปตัน และอีริก ไอเดิล เขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปอดเมื่อปี 2001
ประวัติ ริงโก สตาร์
สตาร์เป็นมือกลองใหักับวงเดอะบีทเทิลส์ แต่ก็ประสบความสำเร็จในการเป็นนักแต่งเพลงให้กับวง อย่างเช่น "Don't Pass Me By" และ "Octopus's Garden" และยังได้ร้องนำในเพลงอย่างเช่น "Yellow Submarine", "With a Little Help from My Friends", "What Goes On", "I Wanna Be Your Man", "Boys", "Act Naturally", "Honey Don't", and "Good Night" รวมถึงประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินเดี่ยว กับเพลงดังอย่าง "It Don't Come Easy", "Photograph" และ "You're Sixteen" นอกจากนี้สตาร์ยังร่วมแสดงในรายการ Thomas and Friends ระหว่างปี 1984 -1986
ประวัติ พอล แม็กคาร์ตนีย์
เขาเกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงานที่เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ บิดาเป็นนักทรัมเป็ตและเปียโนในวงแจ๊สซึ่งสนับสนุนการเล่นดนตรีมาแต่เล็ก โดยเล่นทูบา เป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกต่อมาเปลี่ยนเป็นทรัมเป็ต ต่อมาในยุคความนิยมดนตรีสกิฟเฟิล (Skiffle) พอลจึงหันมาเล่นกีตาร์ จนในยุคที่ร็อกแอนด์โรลโด่งดัง เพื่อนของเขา จอห์น เลนนอนจึงชวนมาตั้งวงที่ชื่อ "แควร์รี่ เมน" (Quarry Men) ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อ เดอะบีทเทิลส์ จนโด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งเขาและจอห์นก็ร่วมแต่งเพลงฮิตมากมายหลายเพลง เช่น Lady Madonna, Here Today, Wanderlust , Yesterday จนในปี 1970 วงเดอะบีทเทิลส์ก็แตกวงไป พอแยกมาทำอัลบั้มร่วมกับภรรยา ลินดา แม็กคาร์ตนีย์ ในชื่อ "วิงส์" (Wings)
พอลได้รับการจดบันทึกในกินเนสบุ๊กว่า เป็นนักดนตรีและนักแต่งเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรีป๊อป เขาได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำ 60 ครั้ง ขายได้กว่า 100 ล้านซิงเกิล และเพลง Yesterday ที่เขาร่วมแต่งกับจอห์นก็เป็นเพลงที่ถูกนำมาคัฟเวอร์มากที่สุดในโลก ถูกแพร่ภาพและเสียงในอเมริกากว่าเจ็ดล้านครั้ง [1]
เขาได้รับตำแหน่ง "เซอร์" จากสมเด็จพระราชินีอังกฤษเมื่อปี 11 มีนาคม ค.ศ. 1997
ประวัติ จอห์น เลนเนอ
จอห์น เลนนอน เกิดที่ลิเวอร์พูล อังกฤษ เมื่อเขาอายุได้ 4 ขวบ พ่อกับแม่แยกทางกัน จอห์นอยู่กับแม่จึง และแม่ตายก่อนตอนที่เขาอายุ 18
สมัยเด็กๆ จอห์นชอบวาดภาพผู้ที่พิการทุพพลภาพ และครูคิดว่าเขาน่าจะสอบเข้าไปเรียนในวิทยาลัยศิลปะได้ และเขาก็สอบได้ และที่วิทยาลัยแห่งนี้เองที่เขาได้พบกับซินเธีย โพเวลล์ ผู้หญิงซึ่งต่อมาได้กลายเป็นภรรยาคนแรกของจอห์น
เมื่อตอนที่จอห์นอายุ 16 ปี ได้ตั้งวงดนตรีชื่อควอร์รี่ แมน (Quarry Man) และเปิดการแสดงกันในโรงเรียน จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้รู้จักกับ พอล แมกคาร์ตนีย์ ณ จุดนี้เอง จอห์นและพอลก็ได้มาร่วมงานกัน พร้อมกับจอร์จ แฮริสัน เป็นที่มาของวงดนตรี “เดอะ บีทเทิลส์” หรือ 4 เต่าทอง
การแสดงของวงเข้าตา ไบรอัน เอพสเตน ซึ่งต่อมาเป็นผู้จัดการวง ซิงเกิ้ลแรกของพวกเขาชื่อว่า Love me Do ซึ่งได้ จอร์จ มาร์ติน เป็นโปรดิวเซอร์ เพียงแค่วันที่สองของการออกซิงเกิ้ลนี้มันก็สามารถขึ้นชาร์ทที่อันดับ 17
จอห์นแต่งงานกับซินเธีย โพเวลล์ ในปี 1962 มีลูกชายด้วยกัน 1 คน คือจูเลียน แต่ที่สุดก็หย่าขาดจากกัน เมื่อจอห์นพบรักใหม่กับ โยโกะ โอโนะ ที่เดอะ อินดิก้า แกลเลอรี่ ปี 1966 จากนั้นในปี 1970 สี่เต่าทองก็วงแตก
จอห์นยังคงทำงานดนตรีด้วยการออกผลงานเดี่ยว อัลบั้ม Imagine ตามด้วย Mind Games, Rock and Roll และ Walls and Bridge แต่ชีวิตส่วนตัวย่ำแย่ จอห์น และ โยโกะ แยกทางกันเป็นเวลา 14 เดือน เพราะการกดดันของสาธารณชน แต่หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
ในปี 1975 โยโกะก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายแก่เขาอีกคนชื่อ “ฌอน” จอห์นทิ้งอาชีพนักดนตรีไป 5 ปี เพื่อทำตัวเป็นพ่อบ้านที่ดี คอยเลี้ยงดูลูกชายคนนี้ หลังจาก 5 ปีผ่านไปเขาก็หวนนึกถึงอาชีพนักดนตรีและเขาแต่งเพลงอีกครั้ง เขาเขียนงานเพลง Double Fantasy และบันทึกในปีเดียวกันคือปี 1980
แต่โชคร้ายก็มาเยือนในวันที่ 8 ธันวาคม 1980 ช่วงบ่ายขณะที่จอห์น เลนนอน อยู่ในสตูดิโอเพื่อกำลังเตรียมตัวอัดเพลงใหม่ ก็มีชายคนนึ่งชื่อว่าmark chapman (มาร์ค ชาปแมน)ถือกระดาษกับปากกายืนให้จอห์น เลนนอน แล้วพูดว่า"ฉันจะมีลายเซ็นของคุณเป็นที่ระลึกได้ไหม?"จอห์นจึงเซ็นลายเซ็นของเขาให้แล้วก็ไป ทำงานต่อ
บ่ายวันนั้นจอห์นกับโยโกะก็มาอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์ของเขา เขาก็พบmark chapmanคนที่มาขอลายเซ็นเขานั้นเองแต่คราวนี้ในมือเขาไม่ใช่ปากกา กับกระดาษแต่เป็นปืน มาร์คพูดว่า"คุณเลนนอน!!"แล้วเขาก็ยืนจอห์นไป้านัด จอห์นเสียชีวิตทันทีด้วยวัย40ปี
3นาทีต่อมา ตำรวจมาถึงอพาร์ตเมนต์ มาร์คยังอยู่ตรงนั้นเขาพูดกับตำรวจว่า"ฉันนี้แหละที่ยิงจอห์น เลนนอน"
วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
- ตัวอย่างเพลง
1965
"Help!" ฟังเสียง
"Yesterday" ฟังเสียง
"Drive My Car" ฟังเสียง
"Nowhere Man" ฟังเสียง
"In My Life" ฟังเสียง
1966
"Taxman" ฟังเสียง
"Eleanor Rigby" ฟังเสียง
"I'm Only Sleeping" ฟังเสียง
"Got To Get You Into My Life" ฟังเสียง
1967
"Strawberry Fields Forever" ฟังเสียง
"Penny Lane" ฟังเสียง
"Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band" ฟังเสียง
"Lucy in the Sky with Diamonds" ฟังเสียง
"When I'm Sixty-Four" ฟังเสียง
"A Day in the Life" ฟังเสียง
"Magical Mystery Tour" ฟังเสียง
"I Am the Walrus" ฟังเสียง
1968
"Blackbird" ฟังเสียง
"Mother Nature's Son" ฟังเสียง
"Helter Skelter" ฟังเสียง
"Revolution 1" ฟังเสียง
1969
"Come Together" ฟังเสียง
"Something" ฟังเสียง
"Here Comes the Sun" ฟังเสียง
"She Came in Through the Bathroom Window" ฟังเสียง
ผลานของ The Beatles
ผลงาน
อัลบั้มที่จำหน่ายในอังกฤษ
Please Please Me - วันวางจำหน่าย: 1963-03-22
With the Beatles - วันวางจำหน่าย: 1963-11-22
A Hard Day's Night - วันวางจำหน่าย: 1964-07-10
Beatles for Sale - วันวางจำหน่าย: 1964-12-04
Help! - วันวางจำหน่าย: 1965-08-06
Rubber Soul - วันวางจำหน่าย: 1965-12-03
Revolver - วันวางจำหน่าย: 1966-08-05
Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band - วันวางจำหน่าย: 1967-06-01
The Beatles (หรือ "The White Album") - วันวางจำหน่าย: 1968-11-22
Yellow Submarine - วันวางจำหน่าย: 1969-01-17
Abbey Road - วันวางจำหน่าย: 1969-09-26
Let It Be - วันวางจำหน่าย: 1970-05-08 (Box Set) 1970-11-06 (Regular LP)
อัลบั้มที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา
Introducing... The Beatles - วันวางจำหน่าย: 1964-01-06
Meet the Beatles! - วันวางจำหน่าย: 1964-01-20
The Beatles' Second Album - วันวางจำหน่าย: 1964-04-10
A Hard Day's Night {เพลงประกอบภาพยนตร์} - วันวางจำหน่าย: 1964-06-26
Something New - วันวางจำหน่าย: 1964-07-20
Beatles '65 - วันวางจำหน่าย: 1964-12-15
The Early Beatles - วันวางจำหน่าย: 1965-03-22
Beatles VI - วันวางจำหน่าย: 1965-06-14
Help! {เพลงประกอบภาพยนตร์} - วันวางจำหน่าย: 1965-08-13
Rubber Soul - วันวางจำหน่าย: 1965-12-06
Yesterday… and Today {อัลบั้มรวมฮิต} - วันวางจำหน่าย: 1966-06-20
Revolver - วันวางจำหน่าย: 1966-08-08
Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band - วันวางจำหน่าย: 1967-06-02
Magical Mystery Tour {เพลงประกอบภาพยนตร์} - วันวางจำหน่าย: 1967-11-27
The Beatles - วันวางจำหน่าย: 1968-11-25
Yellow Submarine - วันวางจำหน่าย: 1969-01-13
Abbey Road - วันวางจำหน่าย: 1969-10-01
Let It Be - วันวางจำหน่าย: 1970-05-18
ประวัติ The Beatles
ในยุคต้นของพวกเขา มีเพลงดังอย่าง She Loves You, Twist And Shout, I Want To Hold Your Hand, Please Please Me ในยุคที่ 2 ในชุด Help, Rubber Soul หรือ Revolver และผลงานอยู่ในช่วงพีคสุดอย่าง Sgt.Pepper Lonely Heart Club Band, Magical Mystery Tour และ White Album ก่อนที่จะจบลงด้วย 2 อัลบั้มสุดท้ายอย่าง Let It Be และ Abbey Road
บุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายหรือสารเคมีที่ทำให้ผลงานอันยอดเยี่ยมที่กล่าวมานี้สมบูรณ์แบบเป็นอมตะ ต้องยกให้กับโปรดิวเซอร์ของวงอย่าง จอร์จ มาร์ติน ผู้ที่อยู่เคียงข้างเหล่าสี่เต่าทองตั้งแต่เริ่มเรียนรู้วิธีการเขียนเพลงและการทำงานให้ห้องบันทึกเสียง จนสมาชิกในวงกลายเป็นนักแต่งเพลงผู้ยิ่งใหญ่ของโลกกันหมด